จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568
ศ.ดร. อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทยและนักวิจัย สกสว. เผยว่าจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ทำให้อาคารสั่นไหวรุนแรง ขณะนี้ กำลังตรวจสอบข้อมูลว่า เกิดแผ่นดินไหวที่จุดใด แต่คาดว่าน่าจะเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงที่เมียนมา และส่งผลกระทบมาที่ประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาคารสูงใน กทม. เกิดการสั่นไหวที่รุนแรง อาจทำให้อาคารแตกร้าว เสียหายได้
ขณะนี้ สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจมี aftershock ตามมาได้ ทั้งนี้ อาคารเก่าที่ก่อสร้างก่อนปี 2550 อาจเกิดความเสียหายได้มากกว่า เนื่องจากออกแบบและก่อสร้างมาก่อนมีกฎกระทรวงแผ่นดินไหว ปี 2550 ปัจจุบันได้มีกฎกระทรวงฉบับใหม่ปี 2564 บังคับให้อาคารต้องออกแบบต้านแผ่นดินไหว ใน กทม. แต่ก็มีอาคารจำนวนไม่มากที่ได้รับการออกแบบต้านแผ่นดินไหว
สำหรับอาคารที่สั่นไหวรุนแรง จะต้องตรวจความเสียหายทางโครงสร้างของอาคารด้วย ว่าเสียหายมากน้อยเพียงใด
ตึกระหว่างก่อสร้างพังถล่มเป็นผลมาจากเสาชั้นล่าง เนื่องจากเป็นชั้นล่างที่ค่อนข้างสูง เสาค่อนข้างยาวกว่าชั้นอื่น จึงเกิดชั้นอ่อน เสาหัก อาคารพังถล่มทั้งหลัง
ศ.ดร.อมร เตือน หลังจากนี้ ต้องเร่งเสริมกำลังอาคารต้านแผ่นดินไหว
โดยเฉพาะอาคารเก่าที่ก่อสร้างก่อนปี 50 ควรเร่งประเมินกำลังต้านแผ่นดินไหว และเสริมกำลัง หากจำเป็น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาคารสูงใน กทม.
ทั้งนี้ อาจเกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรงแบบนี้ได้อีกในอนาคต
ข้อสันนิษฐานสาเหตุตึกถล่มจากเหตุแผ่นดินไหว
จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แล้วทำให้อาคารที่กำลังก่อสร้างหลังหนึ่งถล่มลงมาแบบราบคาบนั้น ศ.ดร. อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างแห่งประเทศไทยและนักวิจัย สกสว. ตั้งข้อสังเกตถึงจุดเริ่มต้นของการถล่ม ว่าจากภาพวีดีโอ
มีจุดที่พังทลายที่สำคัญ 3 จุดได้แก่
1.เสาชลูดชั้นล่างหักที่บริเวณกลางเสา
2. รอยต่อระหว่างพื้นไร้คานกับเสาชั้นบนเฉือนขาดในแนวดิ่ง และ 3. การพังที่เกิดจากปล่องลิฟต์ โดยในขณะนี้ยังไม่สรุปว่า จุดเริ่มต้นการถล่มเกิดที่จุดใด แต่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากจุดใดก่อน ก็สามารถทำให้อาคารถล่มราบคาบลงมาเป็นทอดๆ ได้ ซึ่งในทางวิศวกรรมเรียกว่า Pancake collapse
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหนึ่งที่อาจเป็นสาเหตุการถล่มได้คือการสั่นพ้อง (resonance) ระหว่างชั้นดินอ่อนกับอาคารสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผ่นดินไหวระยะไกลจากเมียนมา เมื่อคลื่นแผ่นดินไหวเดินทางมาถึงชั้นดินอ่อนกรุงเทพฯ จะเป็นแผ่นดินไหวแบบคาบยาว (long period) ซึ่งจะกระตุ้นอาคารสูงได้ เนื่องจากมีคาบยาวที่ตรงกันระหว่างอาคารกับชั้นดินอ่อน
ทั้งนี้ อาจมีปัจจัยอื่นที่ต้องพิจารณาด้วย เช่น ตัวปั้นจั่นที่ติดตั้งในปล่องลิฟต์ มีการสะบัดตัวและส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอย่างไรนั้น ยังต้องพิสูจน์ต่อไป
อย่างไรก็ดี ตามกฎกระทรวงแผ่นดินไหว ปี 2550 และ 2564 อาคารหลังนี้ควรต้องออกแบบให้ต้านแผ่นดินไหวในระดับที่ไม่ควรถล่มแบบนี้ จึงต้องไปตรวจสอบแบบ และ การก่อสร้าง ด้วย
อีกประเด็นสำคัญที่ตัดทิ้งไม่ได้คือคุณภาพวัสดุก่อสร้าง เช่น คอนกรีต และเหล็กเสริมว่ามีกำลังรับน้ำหนักเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล็กเส้นที่นำมาใช้ ได้มาตรฐานและมีความเหนียวเพียงพอหรือไม่ จึงจำเป็นตรวจสอบทุกปัจจัย ก่อนจะสรุปสาเหตุที่แท้จริงได้