เมื่อ : 21 ก.ค. 2566 , 112 Views


 
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้รับเกียรติจากนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานกล่าวปาฐกถาพิเศษและเปิดการประชุมผู้บริหารระดับสูงด้านการประกันภัย ประจำปี 2566 (CEO Insurance Forum 2023) ภายใต้แนวคิด “Navigating Resiliency and Sustainability : Challenges and Opportunities for Thai Insurance Industry” ซึ่งเป็นการจัดประชุมในรูปแบบผสมผสาน (หรือ Hybrid Conference) เพื่อเป็นเวทีสื่อสารทิศทางและนโยบายในการพัฒนาธุรกิจประกันภัยไทย รวมทั้ง แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ข้อเสนอแนะ ตลอดจนข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างสำนักงาน คปภ. ภาคธุรกิจประกันภัย และผู้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมประกันภัยไทย ณ ห้องประชุม CRYSTAL ชั้น 3 โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก


            ในโอกาสนี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “บทบาทของธุรกิจประกันภัยต่อการส่งเสริมให้เศรษฐกิจและสังคมเติบโตอย่างยั่งยืน” โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ปีนี้อัตราการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นผลมาจากนโยบายการเปิดประเทศ การท่องเที่ยวที่มีการขยายตัวสูงขึ้น นักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและต่างประเทศมีความเชื่อมั่นประเทศไทยเพิ่มขึ้น ระบบประกันภัยถือเป็นแหล่งระดมเงินออมของประชาชนที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยเสริมสร้างหลักประกันให้กับชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งสำนักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมองไปในอนาคตและร่วมกันขับเคลื่อนให้ภาคการเงินและการคลังมีความเข้มแข็งมากขึ้นต่อไปในระยะยาว ควรมีเวทีในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างหน่วยงานกำกับและภาคอุตสาหกรรมประกันภัยลักษณะเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการศึกษาเรียนรู้แนวทางกำกับดูแลในต่างประเทศเพื่อนำมาปรับใช้ในการกำกับดูแล สิ่งสำคัญที่สำนักงาน คปภ. และภาคอุตสาหกรรมประกันภัยจะต้องร่วมกันขับเคลื่อน คือ ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบประกันภัย ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งโดยจะต้องเชื่อมโยงกับการคุ้มครองประชาชนผู้บริโภค โดยเมื่อเกิดเหตุการณ์เกิดขึ้น สำนักงาน คปภ. จะต้องเข้าไปช่วยดูแลสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน ขณะเดียวกันบริษัทประกันภัยก็ควรจะต้องมีส่วนที่จะต้องรับผิดชอบด้วย เพราะเงินค่าเบี้ยประกันภัยที่บริษัทประกันภัยรับมาเป็นเงินของประชาชน การขับเคลื่อนนโยบายด้านความยั่งยืน (Sustainability) ให้ยึดกรอบเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) โดยผสมผสานไปกับแนวคิดเรื่อง ESG ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล 

 

             นอกจากนี้การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย จะต้องถอดบทเรียนและเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา การพิจารณาให้ความเห็นชอบผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ ๆ จะต้องดำเนินการวิเคราะห์จุดอ่อนและความเสี่ยงต่าง ๆ อย่างเป็นระบบมากขึ้น ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์ประกันภัยก็จะต้องมีความหลากหลายมากขึ้นด้วย โดยธุรกิจประกันภัยยังมีโอกาสอีกมากจากโครงสร้างพื้นฐานของรัฐหรือการเดินทางสาธารณะ Public transportation เช่น สะพาน ทางยกระดับ สนามบิน ท่าเรือ ธุรกิจประกันภัยสามารถที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเข้ามารองรับความเสี่ยงของภาครัฐได้ โดยออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้มีความเหมาะสมกับความเสี่ยงและอัตราเบี้ยประกันภัย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวด้วยว่า การที่ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสุขภาพและต่อยอดเพิ่มก็จะสามารถเข้ามาเสริมสร้างหลักประกันให้แก่ประชาชนได้ รวมถึงการส่งเสริมให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยพืชผลทางการเกษตรที่มารองรับความเสี่ยงของเกษตรกร เช่น การประกันภัยข้าวนาปี การประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ก็จะมีส่วนช่วยให้เกษตรกรมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น ซึ่งควรขยายไปในพืชผลอื่น ๆ ต่อไป ส่วนการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้เข้าถึงการประกันภัยให้สะดวกขึ้นจะทำให้บริษัทลดต้นทุนเพิ่มประสิทธิภาพและต้องคำนึงถึงความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลด้วย รวมถึงอุตสาหกรรมประกันภัยควรมองเรื่อง Supply Chain Management (การจัดการห่วงโซ่อุปทาน) ตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ เพื่อให้ทุกห่วงโซ่ของการผลิตระบบประกันภัยสามารถเข้าไปรองรับความเสี่ยงได้และอยู่ในกรอบของความยั่งยืน


               จากนั้น ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(เลขาธิการ คปภ.) ได้กล่าวบรรยายพิเศษในหัวข้อ “การประกันภัยอย่างยั่งยืน โอกาสใหม่ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งและการเติบโตของธุรกิจประกันภัยไทย” โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมประกันภัยต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งเรื่องของความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด ความผันผวนของระบบเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศ รวมทั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด 19 ที่ส่งผลกระทบต่อความเข้มแข็งมั่นคงและการเติบโตอย่างยั่งยืนของระบบประกันภัย ซึ่งธุรกิจประกันภัยกำลังเผชิญกับโอกาสและความท้าทายหลากหลายประการ สำนักงาน คปภ. ให้ความสำคัญและส่งเสริมการสร้างสมดุลและความยืดหยุ่นให้กับระบบประกันภัยมาโดยตลอด เพื่อให้ธุรกิจประกันภัยสามารถรับมือกับความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกเหนือจากเงินกองทุนที่เข้มแข็งแล้ว แนวทางสำคัญที่จะสร้างสมดุลและความยืดหยุ่นในระบบประกันภัย ยังประกอบไปด้วย การกระจายความเสี่ยง การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยง การเร่งประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและฐานข้อมูล การลงทุนในทรัพยากรบุคลากร และการยกระดับความพร้อมรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ นอกเหนือจากการสร้างสมดุลและความยืดหยุ่นแล้ว อีกประเด็นสำคัญ คือ การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainability) ให้แก่ธุรกิจประกันภัย สำนักงาน คปภ. จึงได้ผลักดันให้มีการผนวกเรื่อง ESG เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายและกลยุทธ์ในการประกอบธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งธุรกิจประกันภัย ถือได้ว่ามีส่วนสำคัญในการสนับสนุนและการดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และผลักดันให้เกิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainability) ในฐานะผู้รับประกันภัยที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อรองรับความเสี่ยง

 

             ที่ประชุมทั้ง 3 กลุ่ม มีข้อสรุปร่วมกันและเห็นว่าสิ่งที่จะต้องดำเนินการต่อไป มีดังนี้
1. ส่งเสริมและสนับสนุนให้บริษัทประกันภัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่สอดคล้องกับแนวทาง ESG
2. สนับสนุนให้บริษัทประกันภัยใช้เทคโนโลยีในกระบวนการต่าง ๆ ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัย การเสนอขาย การรับประกันภัยและการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน รวมถึงส่งเสริมให้นำผลิตภัณฑ์เข้าสู่การทดสอบในโครงการ Sandbox ให้มากขึ้น
3. เสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคและใช้ข้อมูลวิเคราะห์ (Data Analytic) เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค 
4. ภาคธุรกิจประกันภัยควรมีแผนการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสมเพื่อให้เท่าทันกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และควรจัดทำ Scenario Test ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของบริษัท เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ทั้งในเชิงมหันตภัยและโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้น
5. บริษัทประกันภัยควรมีการรายงานข้อมูลที่ถูกต้อง รวดเร็ว และทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
6. สื่อสารต่อสาธารณชนโดยให้ข้อมูลที่ถูกต้อง มีวิธีการสื่อสารที่เหมาะสม
7. เน้นการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยให้ยืดหยุ่นในลักษณะ principle base รวมถึงการบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกันและสามารถให้ข้อมูลแก่ภาคธุรกิจและประชาชน
8. เสริมสร้างองค์ความรู้และความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการประกันภัย โดยบูรณาการร่วมกันระหว่างสมาคมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันภัย และสำนักงาน คปภ. รวมทั้งจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่างสำนักงาน คปภ. และภาคธุรกิจในการติดตามและตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์อันอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ธุรกิจประกันภัย เพื่อทำความเข้าใจให้กับประชาชนได้อย่างทันท่วงที
9. แบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความผิดของตัวแทนประกันภัยหรือนายหน้าประกันภัยที่สำนักงาน คปภ. เก็บรวบรวมให้แก่ภาคธุรกิจประกันภัยเพื่อเป็นการป้องกันการฉ้อฉลประกันภัย ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล 
10. นําเทคโนโลยีมาสนับสนุนการปฏิบัติงานด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลและระบบบริหารจัดการข้อร้องเรียนร่วมกันระหว่าง สํานักงาน คปภ. กับภาคธุรกิจประกันภัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน
11. สนับสนุนให้บริษัทใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการสื่อสารและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชนในขั้นตอนการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยหรือเมื่อเกิดปัญหาข้อพิพาทหรือเมื่อมีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน


            “การประชุม CEO Insurance Forum 2023 ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากทุกภาคส่วน โดยเป็นครั้งแรกที่มีการถกแถลงและมีข้อสรุปร่วมกันระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลภาคธุรกิจประกันภัยในเรื่องของความยั่งยืน ซึ่งส่วนตัวมีความเห็นว่าทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญในเรื่องความยั่งยืน โดยหากธุรกิจประกันภัยดำเนินการอย่างจริงจังในการช่วยสร้างเสริมความยั่งยืนแล้ว ก็เชื่อว่าผลที่ได้จะสะท้อนกลับมาทำให้ธุรกิจประกันภัยสามารถพัฒนาเติบโตได้อย่างยั่งยืนและมั่นคงเช่นกัน ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. จะนำประเด็นที่ได้ข้อยุติร่วมกันมาขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย